วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของนางภัททา

ในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องของนางภัททา ธิดาเศรษฐีมีอายุย่างเข้าวัย 16 ปี มีรูปร่างสวยงาม บิดามารดา จึงระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่7 ให้หญิงรับใช้คอยดูแล
แต่ธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่มดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่มผ่านมาทางบ้านของนางพอนางเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นโจรเท่านั้นก็เกิดจิตรักใคร่
ในตัวโจรทันที คิดว่า "ชาตินี้ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มมาเป็นคู่ครองก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่" และรู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังนำโจรไปประหาร ความรู้สึกของนางเหมือนกับกำลังสูญเสียสามี
สุดที่รัก ฝ่่ายสาวใช้เห็นเช่นนั้น จึงรีบแจ้งให้เศรษฐีผู้เป็นบิดามารดาทราบ บิดามารดาของนางพอมาถึงก็ได้ไถ่ถามทราบจากปากของธิดาว่า "ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มคนนั้นมาเป็นคู่ ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป"
บิดามารดา ช่วยกันพูดอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เป็นผล ด้วยความรักและห่วงใยในลูกสาว จึงยอมติดสินบนเจ้าหน้าที่
ขอไถ่ตัวโจรหนุ่มคนนั้นโดยให้นำมาส่งที่บ้าน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชบุรุษทั้งหลาย รับสินบนไปแล้วก็ได้นำโจรหนุ่มคนนั้นมามอบให้เศรษฐี แล้วนำนักโทษอีกคนหนึ่งไปประหารชีวิตแทน
แล้วกราบทูลพระราชาว่าฆ่าโจรสัตตุกะเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีรับตัวโจรหนุ่มสัตตุกะไว้แล้วให้อาบน้ำชำระร่างกายและมอบเสื้อผ้าชั้นดีให้ส่วมใส่ก่อนนำไปยังปราสาทของลูกสาว
ทำพิธีส่งตัวให้เป็นคู่สามีภรรยา โจรสัตตุกะมีความสุขอยู่ในบ้านของเศรษฐีพรั่งพร้อมทุกอย่างได้ทั้งภรรยาที่แสนสวย ทรัพย์สินเงินทองก็มีให้ใช้อย่างสุขสบายแต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะนิสัยสันดานโจร
อดที่จะทำชั่วไม่ได้ เขาคิดจะฆ่าภรรยาเพื่อจะนำเอาเครื่องประดับอันมีค่านั้นไปขาย แล้วนำเงินมาหาความสุขสำราญ เขาจึงวางแผนพาภรรยาไปที่ยอดภูเขา หลอกว่าเพื่อไปทำพิธีพลีกรรมเทวดาที่ตน
ได้บวงสรวงไว้ แต่เมื่อไปถึงหน้าผา โจรสัตตุกะก็พูดกับนางด้วยเสียงอันแข็งกร้าวเด็ดขาดว่า "ภัททา เจ้าจงเปลื้องผ้าห่มออกแล้วถอดเครื่องประดับทั้งหมดมัดห่อรวมกันไว้เดี๋ยวนี้" นางภัททาได้ฟังคำและเห็นกิริยาของสามีเปลี่ยนไปเช่นนั้น "นายจ๋า ดิฉันทำอะไรผิดหรือ?" "เอาละนายจ๋า วันที่ท่านถูกราชบุรุษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุมพาตระเวนประจานไปทั่วเมืองก่อนนำมาประหารที่ภูเขาทิ้งโจรนี้ ดิฉันได้อ้อนวอนบิดามารดาให้สละทรัพย์เป็นอันมากไถ่ชีวิตท่านแล้วนำมาแต่งงานกับดิฉัน และดิฉันก็มีความรักต่อท่านอย่างสุดหัวใจ วันนี้ท่านมีความประสงค์จะฆ่าดิฉันให้ได้ เพื่อต้องการเครื่องประดับ แต่ก็ไม่เป็นไร ก่อนที่ดิฉันจะตายขอให้ดิฉันได้แสดงความรักต่อท่าน เป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยเถิด"

ขอให้ท่านจงยืนตรงนั้นแล้วดิฉันจะขอสวมกอดท่านทั้ง 4 ทิศ หลังจากนั้นท่านก็จงประหารดิฉันเถิด โจรชั่วสัตตุกะเห็นกิริยาอาการและฟังคำพูดของนางดูเป็นปกติสมจริง จึงยอมให้นางกระทำตามที่ขอแล้วไปยืน
ตรงที่นางบอกบนยอดเขา ขณะนั้นนางภัททาผู้เป็นภรรยาได้ทำการประทักษิณเดินเวียนขวารอบสามี 3 รอบแล้วไหว้ทั้ง 4 ทิศพร้อมกับกล่าวว่า "นายจ๋า นี่เป็นการเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย นับต่อแต่นี้การที่ดิฉันจะได้เห็นท่าน และท่านจะได้เห็นดิฉันก็คงไม่มีอีกแล้ว" เมื่อกล่าวจบนางก็สวมกอดข้างหน้าแล้วก็เปลี่ยนมากอดข้างหลัง ขณะที่โจรชั่วเผลอตัวอยู่นั้นนางได้ผลักโจรตกลงไปในเหว ร่างของโจรชั่วแหลกเหลว
เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จบชีวิตอันชั่วร้ายของเขาที่เหวนั้น คิดว่าถ้าเรากลับบ้านไป บิดามารดาก็จะต้องซักถามหากทราบความจริงแล้ว คงจะตำหนิติเตียนนางที่ดื้อรั้นนางจึงตัดสินใจออกบวชในสำนักของพวกนิครนถ์และต่อมาได้เที่ยวแสวงหาบัณฑิตจนได้พบกับพระสารีบุตรเกิดเลื่อมใสศรัทธาขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนาพร้อมทั้งขอบรรพชาและถึงพระเถระเป็นสรณะ
แต่พระเถระบอกว่าขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิดแล้วพานางไปยังพระวิหารเซตวัน นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงส่งนางให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์เมื่อนางบวชแล้ว
ได้ชื่อว่า "กุณฑลเกสาเถรี" เป็นภิกษุที่บรรลุอรหัตผลในเวลาจบคาถาเพียง 4 บาท จึงเป็นเหตุให้ได้รับการยกย่องไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน


เรื่องนี้เตือนสติเราได้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอน
ได้แต่งงานสมหวังในรักแล้ว คิดว่าชีวิตจะมีความสุข
แต่ความสุขในอารมณ์รัก อารมณ์ใคร่ มันวางใจไม่ได้
ไม่เที่ยงแท้แน่นอนจริงๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น: